top of page

HOTEL MUSE

น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ เป็นประโยคที่ดูงงตอนฟังในรายการ The Face Thailand แต่ประโยคนั้นกลับชัดเจนเข้าใจได้ง่าย ในวันที่ผมได้พักที่ Hotel Muse

โรงแรมที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและบรรยากาศที่โคตรจะ Sexy


มีโอกาสได้ยินชื่อ Hotel Muse มานานแสนนาน เวลาใครพูดถึงที่นี่จะเห็นภาพการตกแต่งแบบคลาสสิค เรียบ ดูหรู คิดถึงภาพลายหินอ่อนสีดำเท่ๆ ประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่ผมได้เดินทางมาร่วมงาน Grey Goose Fly Beyond Tonigh พอดี เลยถือโอกาสได้มีเวลาพักที่นี่สักคืน


ทุกครั้งที่มากรุงเทพก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ได้อัพเดตบาร์ใหม่ๆ ร้านกาแฟใหม่ๆ คราวนี้เลยเลือกเดินทางด้วย Vespa Special Edition GTS 3VIE เดินทางไปไหนสะดวกดี ดูมีสไตล์สมราคา


ถึงแล้ว !! Hotel Muse ตั้งอยู่ในซอยหลังสวน


อย่างที่ทุกคนรู้กันดีว่าย่านนี้เป็นแหล่งที่พักสุดหรู สามารถเดินทางไป สยาม สุขุมวิท และสีลมได้ง่าย แต่ย่านนี้ก็ยังมีมุมสงบและมีร้านอาหารซ่อนตัวอยู่รอบๆอีกเพียบ

ลอบบี้ของโรงแรมมีความเว่อวังมากๆ ตามคอนเซปท์ของโรงแรมใน M Gallery ซึ่งตั้งใจให้ทุกโรงแรมก้าวเข้าไปแล้วรู้สึกเหมือนก้าวเข้าไปสู่อีกโลกหนึ่ง ขนลุกในความสวยงามและเสน่ห์ของการตกแต่งที่นี่


Hotel Muse มีทั้งหมด 174 ห้อง ทั้งหมด 6 Room Type
ผมได้ Welcome Drinks ไม่เกิน 30 วินาที หลังจากนั่งลง Check-in เครื่องดื่มแต่ละแก้วเป็นตัวแทนของแต่ละห้องอาหาร
ห้องที่ผมจะพักวันนี้คือ Jatu Deluxe ( Muse Deluxe ) Ja-tu ไม่ได้เป็นคำฝรั่งเศส แต่มาจากคำว่า จตุ เพราะที่นี่ตั้งชื่อตามของชั้นของ "สวรรค์ " พร้อมแล้ว
ขึ้นสวรรค์ไปพร้อมๆกับผมเลยครับ : )

ไม่น่าเชื่อว่านี่คือ Room Type เริ่มต้น เพราะห้องกว้าง สวย กำลังดี และ Sexy สุดๆด้วยห้องน้ำ

ห้องน้ำให้อารมณ์หรูหรามากๆด้วยการตกแต่งด้วยหินอ่อนสีดำ

อ่างอาบน้ำแบบมีขาสิงโต เลียนแบบศิลปชั้นสูงในยุโรป


วิวจากห้องนี่เยี่ยมจริงๆ มองเห็น Central Embassy ด้วยนะ ( อยู่ทางซ้ายมือ )

ห้องถูกตกแต่งด้วยโทนสีอบอุ่น เน้นสีของไม้ เครื่องหนังและหินอ่อน

ทริปนี้ผมเดินทางคนเดียว จึงชวนเพื่อนสนิท Jack มาร่วมเสพความสวยงามของ Muse Hotel ด้วย

Jack ทำงานอยู่ในร้านอาหารฝรั่งเศษชื่อดัง และยังเป็นช่างภาพอิสระอีกด้วย แน่นอนรีวิวนี้คุณจะได้อ่านรีวิวของผม และคุณก็ยังจะได้อ่านรีวิวโดยมุมมองของ Jack อีกด้วย

พักผ่อนกันตามอัธยาศัย ภายในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบถ้วน




" แรงบันดาลใจ "


Hotel Muse ได้รับแรงบันดาลใจจากยุค 1920 เป็นยุคที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรป ยุคนั้นเรียกว่า Golden Edge Of Travel หรือยุคทองของการท่องเที่ยวในสมัยนั้นนั่นเอง โรงแรมเลยได้นำเมืองต่างๆที่ท่านได้ประพาสในช่วงนั้นมาเล่าเป็นเรื่องราว


มาเที่ยวที่นี่คุณจะได้ไปเที่ยวเรือไททานิค อิตาลี และนิวยอร์คด้วย จริงเหรอ

เป็นยังไงตามไปอ่านกันได้เลย



โรงแรมมี Fitness ที่สามารถวิ่งและชมวิวเมืองกรุงเทพไปพร้อมๆกัน

มีห้อง Locker Room และ Sauna Room ด้วย

สระว่ายน้ำแม้จะไม่ใหญ่มาก แต่วิวก็ชนะเลิศ นอนอ่านหนังสือชิลๆจนลืมเวลาไปเลย


ใกล้ค่ำห้องก็เปลี่ยนให้อารมณ์อบอุ่นมากยิ่งขึ้น

และช่วงเวลาที่ผมประทับใจและหลงใหลที่สุด ในระหว่างการพักที่ Hotel Muse คือช่วงเวลานี้ครับ

ผมและแจ๊คมาถึง The Speak Easy กันในช่วงหกโมงเย็น ต้องยอมเค้าเลยเพราะวิวดีมากๆ แนะนำให้โทรมาจองโต๊ะล่วงหน้า บรรยากาศดีเหมาะแก่การพาแฟนมานั่งดื่มมากๆ

The Speak Easy ตกแต่งและให้อารมณ์เหมือนนิวยอร์ค พนักงานที่นี่แต่งตัวจัดเต็ม ก้าวผ่านประตูเข้าไปเหมือนพาตัวผมหลุดเข้าไปอยู่ในหนังเรื่อง The Great Gasby



ที่มาของ Speak Easy


ยุคนั้นแอลกอฮอล์เป็นสิ่งผิดกฏหมาย เวลาคนที่รวยอยากจะไปปาร์ตี้สังสรรค์จึงจำเป็นต้องแอบตั้งโค๊ดลับ เพื่อเป็นที่รู้กันว่าจะไปจะชวนกันไปแอบดื่ม โค๊ดลับคำนั้นก็คือ " SPEAK EASY " นั่นเอง

ผมพร้อมพาทุกคนไป " Speak Easy " แล้วครับ หยิบแก้วแล้วย่องตามผมมาได้เลย



จากตรงนี้สามารถมองเห็นสระน้ำด้านล่างที่เราพึ่งไปว่ายน้ำมาได้อีกด้วย

ผมเดินผ่านห้องที่ดูลึกลับชื่อ Blind Pig ซึ่งเป็นซิก้าร์รูม มีมุมลับๆซ่อนอยู่มีสูทแขวนไว้เพียบ คิดถึงหนังเรื่อง Kingsman เลย


* หมูปิดตาข้างนึงหมายถึงตำรวจซึ่งรู้ว่ามีการสังสรรค์แต่ต้องแอบปิดตาข้างนึงแกล้งทำเป็นไม่รู้




มาเริ่ม Speak Easy แบบจริงจังกันเถอะ

G & T แก้วแรกชัดด้วยกลิ่นของลิ้นจี่ แอบหวานด้วยแอปเปิ้ลนิดๆและหอมด้วยกลิ่นของแตงกวา ชอบ

Citrus Colin แก้วนี้ดื่มง่ายที่สุดครับ รสชาติอร่อยกลิ่นส้มหอมมากๆ

Wasabi Martini วาซิบิมาในรูปแบบคอกเทล ก่อนที่ปากจะถึงขอบแก้วกลิ่นวาซาบิก็ลอยมาเตะจมูกอย่างแรง ดื่มเข้าไปมีอบอวลไปด้วยกลิ่นวาซาบิและรสชาติเปรี้ยวๆของมะนาว แปลกแต่ก็ลงตัวดี


และตื่นเต้นที่สุดกับ Bacon Old Fashioned ที่มากับเบค่อน แก้วนี้แรงมากๆดื่มหมดถึงกับเซ


ที่นี่บรรยากาศดีวิวสวย เพลงเพราะ Cocktail ดี ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Speak Easy ถึงเคยรับรางวัลชนะเลิศบาร์ที่ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียที่ดีที่สุดในโลก

ตามมาด้วยอาหารกรุบกริบ Garlic Prawns และ Speak Easy Lobster Club

เป็น Moment ที่ดีที่สุดของการมากรุงเทพในครั้งนี้

The Speak Easy เปิดเปิดบริการ 17:30 น. – 1:00 น. ใครๆก็มาดื่มมาทานอาหารได้นะครับ


---


นั่งจิบกันอยู่ที่ Speak Easy อยู่นาน จนได้เวลาไปดินเนอร์กันต่อที่ห้องอาหาร Babettes The Steakhouse



Babetters ได้รับแรงบันดาลใจจากยุค 1920 เช่นกัน โดยที่นี่มาจากเรื่องราวของชิคาโก้ หนังเรื่อง Boardwalk Empire Gangster ซึ่งภายในห้องอาหารยังมีห้องส่วนตัวเล็กๆวิวดีตั้งชื่อตามตัวละครคู่อริ Al Capone และ O'Banion ตอนนี้เรานั่งกันอยู่ในห้อง Al Capone ครับ

จานแรกของเราเป็น Hokkaido Scallops อร่อย เนื้อฉ่ำๆ เรียกน้ำย่อยได้ดีทีเดียว

ตามมานิ่มๆด้วย Tuna Mixed Salad


หลังจากนั้นก็มีกล่องไม้ มาวางตรงหน้าให้เราได้ลุ้นครับ เปิดมาแล้วก็เจอกับอาวุธลับ

มีหลายแบบให้เลือกตามที่ถูกใจเลยครับ


ไม่นาน Chef ก็เอาสเต๊กมาเสิร์ฟและวางตรงหน้าคุณเลย


จานนี้อร่อยมากเนื้อนุ่มกำลังดี ทานคู่กับเรดไวนน์ เพลินและฟินสุด

ปิดท้ายด้วยของหวาน Pistachios Cream Cheese Mousse จานนี้มีกลิ่นพิตาชิโอ้อ่อนๆ ตัวครีมชีสอร่อยพอดี สัมผัสของครีมชีสดีมาก ทานกับซ๊อสสีแดงๆคือเชอรี่ดอง ( Griottes ) ที่นำมาคั้นน้ำเสิร์ฟคู่กับไอศกรีมโยเกิร์ตอร่อยมาก ถือเป็นการปิดจบของอาหารมือนี้ที่งดงาม


---




ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในห้อง อาจจะไม่ได้อยู่บนเตียงก็ได้

ก่อนนอนคืนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่า เปิดเพลง Jazz จาก Apple Playlist จิบวิสกี้อุ่นๆ แช่ตัวเบาๆอยู่ในอ่าง ฟินที่สุด ราตรีสวัสดิ์




---




Good Morning เมื่อคืนคงจะเพลินไปหน่อย ลับลึกไปนิด ได้เวลา Refresh สำหรับวันใหม่แล้ว





มีหนังสือพิมพ์มาส่งด้วย









---


ได้เวลาไปทานอาหารเช้ากันแล้วครับ ห้องอาหาร Babettes ที่เรานั่งทานกันเมื่อคืนถูกเปลี่ยนบรรยากาศให้กลายเป็นห้องอาหารเช้า ให้ความรู้สึกอีกแบบนึงเลย







อาหารเช้าที่นี่ถือว่าอร่อย มีเมนูให้เลือกพอสมควร

จบด้วยพี่ๆเอา Bloody Mary มาวางไว้ให้ หน้าตาพวกเราคงดูแฮงค์มากสินะ


* บลัดดีแมรี หรือ บลัดดี เป็นเครื่องดื่มที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดย Pete Petiot ในปี พ.ศ. 2464 ขณะที่ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์อยู่ ณ Hary's New York Bar ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยส่วนผสมดั้งเดิมนั้นมีเพียงวอดก้า น้ำมะเขือเทศ และน้ำแข็ง

ก่อนที่จะต้องกลับไปเก็บของเพื่อ Check-out ขอพาเพื่อนๆไปดูส่วนที่เหลือของโรงแรมกัน


ห้องอาหาร MEDICI ( เมดิชี่ ) ร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่อยู่ภายใต้ชั้นล่างของโรงแรมตกแต่งแบบศตวรรษที่ 19 ในบรรยากาศสุดคลาสสิค คำว่า “เมดิซี่” มาจากชื่อตรกูลหนึ่งอ้างอิงมาจากเมืองฟลอเรนซ์ในยุคนีโอคลาสสิก ซึ่งตระกูลเมดิซี่เป็นตระกูลผู้ทรงอิทธิพลทั้งทางการเมือง การศาสนา และการเงินของอิตาลีในยุคดังกล่าว

ที่นี่เคยได้รับรางวัล The Best Italian Restaurant in Bangkok

ใกล้กับลอบบี้โรงแรมมีห้องโถงใหญ่ ชื่อ The Salon แปลว่าห้องนักเล่นภายในมีเคาท์เตอร์กาแฟเล็กๆไว้บริการ ห้องนี้ได้รับแรงบันดาลใจการตกแต่งมาจากห้องนั่งเล่นเรือไททานิค ใครที่รอ Check-in หรือ รอ Check-Out ก็สามารถมานั่งรอที่นี่ได้

และแล้วก็ถึงเวลาที่ผมต้องไปเก็บกระเป๋าแล้วครับ เสียดายมากๆ ที่ต้องคัดบางตอนและรูปภาพหลายสิบรูปออก เพื่อความรวบรัดและไม่น่าเบื่อ


ขอสรุปการพักโรงแรมนี้ว่า

Hotel Muse เป็นโรงแรมที่มีเสน่ห์เหลือเกิน ใครที่มาพักแล้วก็ยังอยากกลับมาพักอีก ด้วยการตกแต่งห้องพักและส่วนต่างที่สวยงามมีรายละเอียดและเรื่องราวเยอะมาก The Speak Easy คือที่สุดของบรรยากาศการนั่งดื่ม Cocktail ที่ดี ผมจะต้องกลับมาพักที่นี่อีกแน่นอน


ชอบรีวิวแบบนี้ อย่าลืมกด Share ให้ด้วยนะ


ข้อมูลโรงแรมเพิ่มเติม hotelmusebangkok.com

Facebook Page Hotel Muse


ติดตามรีวิวอื่นๆจากผม ได้ที่เพจ Surfer's Holiday หรือ Instagram Tah_Surferday

ขอบคุณครับ : )

TAGS

No tags yet.
bottom of page